ค้นหาบล็อกนี้

ขับเคลื่อนโดย Blogger.
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

ลดน้ำตาลซักนิด เพื่อสุขภาพที่ดี

     ในบรรดารสชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด รสหวานเป็นที่ถูกปากของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อย วัยรุ่น หรือแม้แต่ผู้เฒ่า ผู้แก่ ในปัจจุบัน คนไทยรับประทานรสหวานกันมากขึ้นกว่าอดีตมากมายหลายเท่านัก สังเกตุจากเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะผัด แกง หรือทำกับข้าวอะไรซักอย่างเราจะใส่น้ำตาลลงไปด้วยเสมอๆ

   ถ้าถามว่าแล้วมันผิดหรือไงที่ชอบรสหวาน จริงๆมันไม่ผิดหรอกครับ เพราะทุกรสชาติ ไม่วาจะ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม หรือ เผ็ด มันก็มีอันตรายทั้งนั้น ถ้าทานมากเกินไป แต่ที่ยกรสหวานมาเขียนวันนี้เพราะว่า เป็นรสที่ทานง่ายและ เราๆท่านๆ ทานกันบ่อยที่สุดแล้ว 

   อย่างที่เรารู้รสหวานส่วนใหญ่ที่เราทานกันอยู่ได้มาจากน้ำตาล ซึ่งแบ่งง่ายๆได้สามประเภทคือ

     1. น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว  น้ำตาลประเภทนี้ร่างกายไม่ต้องย่อยสามารถนำไปใช้ได้ทันที มีอยู่ในอาหารประเภท ผลไม้ หรือ น้ำผึ้ง
     2. น้ำตาลโมเลกุลคู่ น้ำตาลประเภทนี้ร่างกายต้องย่อยก่อน เช่น น้ำตาลอ้อย น้ำตาลทราย
  3. น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ น้ำตาลประเภทนี้ร่างกายเราต้องใช้เวลาในการย่อยมาก หรือบางชนิดอาจจะย่อยไม่ได้ เช่น เส้นใยพืช

แล้วมันอันตรายยังไง? 

    ถ้าทานมากๆจนร่างกายเรานำไปใช้ไม่หมด น้ำตาลเหล่านี้ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานสำรองในร่างกาย ถ้าเหลือมากๆ ร่างกายก็จะเปลี่ยนพวกมันเป็นไขมันเก็บไว้ในร่างกายเรา ซึ่งก็คือทำให้เราอ้วนนั่นเอง ส่วนปัญหาที่ตามมาจากความอ้วนนั้น เราๆ ท่านๆก็ทราบดีกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น สาเหตุหลักๆของ เบาหวาน โรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกเช่น ฝันผุ 
    
    การทานน้ำตาลคราวละมากๆ และบ่อยๆ อาจจะทำให้เราเสพติดน้ำตาลโดยไม่รู้ตัวได้ โดยอาการคือจะหงุดหงิดเวลาไม่ได้ทานอะไรหวานๆ และจะสดชื่น มีเรี่ยวแรงทันทีหลังจากได้ทานอะไรหวานๆเข้าไป ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า "คาร์โบลิก"

    ที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หลายๆคนอาจจะถามว่าแล้วมันไม่มีประโยชน์เลยหรือ เพราะบอกแต่ข้อเสียทั้งนั้น จริงๆน้ำตาลให้พลังงานสูงและ มีข้อดีเยอะครับถ้าเราทานอย่างพอเหมาะ เช่นใครนอนไม่หลับเราสามารถใช้เป็นยานอนหลับได้ครับ วิธีการก็คือ ทานน้ำตาลทรายขาว 2 ช้อนครึ่งก่อนนอน ทานพร้อมผลไม้ก็ได้ แต่อย่ารับประทานร่วมกับไขมันนะครับ เนื่องจากน้ำตาลมีช่วยให้คลายเครียด และมีฤทธิ์กล่อมประสาท

    หรือผสมน้ำตาลทรายละเอียด 4 ส่วนกับขี้ผึ้งเบดาตีน 1 ส่วน ป้ายลงบนแผลสดจะช่วยให้แผลหายไวขึ้นและแทบจะไม่มีรอยแผลเหลืออยู่เลย

    สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านๆที่อ่านบทความนี้ เลือกทานอาหารหวานๆแต่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพที่ดีครับ ถ้าทำอาหารเองลองใช้น้ำตาลแคลลอรี่ต่ำดูนะครับ ขอให้ทุกท่านสุขภาพดีครับ
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

ท่าออกกำลังกายลดหน้าท้อง

     สวัสดีครับ เรื่องพุงเนี่ยสำหรับผมแล้วก็ค่อนข้างกลุ้มอยู่เหมือนกันเพราะ ไม่ค่อยชอบเล่นกล้ามท้องเท่าไหร่ (ปรกติฟังเพลงไปด้วยตอนเล่นฟิตเนต เวลานั่งบนเครื่องเล่นแล้วมันจะติดสายทำให้เล่นกล้ามท้องลำบาก) 

     แต่วันนี้ผมมีท่าออกกำลังกายลดหน้าท้องมาฝากทุกๆท่าน สำหรับคนที่กลุ้มใจว่าตัวเองผอมแต่ทำไมยังมีพุงแนะนำว่าลองทำดูซักสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้ง ครั้งละ 5 - 10 นาทีก็พอครับ ง่ายๆทำที่บ้านก็ได้

    ท่าแรก เริ่มจากนอนตัวตรง คว่ำหน้าลงกับพื้น วางฝ่ามือไว้ที่พื้น ฝ่าเท้าตั้งฉากกับพื้นนะครับ จากนั้นดันตรงขึ้นมาโดยใช้ข้อศอกยันลำตัวเอาไว้ เหยียดลำตัวให้ตรง ค้างเอาไว้ครับ (สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเอาแค่ซัก 20 -30 วินาทีก่อนจากนั้นค่อยๆเพิ่มเวลาจนได้ 1 นาทีครับ)


    ท่าที่สอง เริ่มต้นท่าด้วยการนอนหงาย จากนั้นยกขาสองข้างขึ้นทำมุม 90 องศากับพื้น งอเข่า เกร็งหน้าท้อง แล้วงอตัวตรง ตะโพกยกตัวขึ้นจากพื้น จากนั้นยกขาขึ้นชี้ฟ้าเล็กน้อย พยายามทำให้ได้ 20 ครั้ง (มือใหม่เอาแค่ 10 ครั้งก่อนแล้วค่อยๆเพิ่มเอาครับ)



    ท่าที่สาม เริ่มด้วยการนอนหงาย ประสานมือไว้หลังศีรษะ ยกเข่าขึ้นมาทางหน้าอก ขณะเดียวกันก็ยกไหล่ขึ้นเหนือพื้น ยืดขาซ้ายออกขณะที่หมุนร่างกายส่วนบนไปทางขวา พยายามให้ข้อศอกซ้ายแตะหัวเข่าข้างขวา จากนั้นทำสลับข้าง ทำให้ได้ยี่สิบรอบ นับเป็นหนึ่งเซ็ท ทำให้ได้สามเซ็ท


     การลดหน้าท้องเนี่ยวิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือ การออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอ สลับกับเล่นเวต เทรนนิ่ง ครับดังนั้นถ้าอยากลดหน้าท้องไวๆ ให้สลับกับการวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆบ้าง หรือปั่นจักรยานบ้างกับ ท่าที่แนะนำไปนะครับ
วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

ออกกำลังกายช่วงไหนของวันได้ผลที่สุด

  ข่าวดีรึเปล่า มีข่าวว่าปีนี้หน้าหนาวของไทยจะยาวไปจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ หลายๆคนคงได้สัมผัสอากาศเย็นๆไปอีกนาน แต่ยังไงก็คงไม่เกี่ยวกับผู้เขียนเท่าไหร่เนื่องจากกรุงเทพร้อนมากกกก ที่พูดเรื่องอากาศก็ไม่ใช่อะไรพยายามจะโยงเข้าเรื่องการออกกำลังกาย ว่าเวลาไหนเหมาะกับการออกกำลังกายที่สุด

     หลายงานวิจัยที่เผยแพร่กันออกมาก็ระบุไปต่างๆกันว่า ออกกำลังกายตอนเช้าซิดี บางงานวิจัยก็บอกว่าช่วงหัวค่ำดีกว่า เอาล่ะซิจะเชื่อใครดี จากที่สรุปจากงานวิจัยทั้งหลายแหล่ก็พบว่าช่วงที่เหมาะสมกับการออกกำลังกายคือ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นล่ะครับ เรามาดูกันดีกว่าว่าออกกำลังกายช่วงไหนจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง


ช่วงเช้า

ข้อดี:

    การออกกำลังกายช่วงเช้าเราจะไม่ค่อยถูกรบกวนจากภารกิจประจำวันทั้งหลายแหล่ของเรา ไม่ว่าจะงาน เพื่อนชวนไปเที่ยว ชอปปิ้ง พูดง่ายๆก็คือเราจัดเวลาออกกำลังกายได้ง่ายที่สุด (ยกเว้นว่าคุณจะทะเลาะกับเตียงนอนไม่เสร็จซักที)

     การออกกำลังกายตอนเช้าจะช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการเผาผลาญพลังงานในระหว่างวัน อันนี้มีผลการวิจัยออกมาแล้ว ว่าจะช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน และช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หลังจากออกกำลังกายอย่างถูกต้องในตอนเช้าแล้ว ร่างกายจะตื่นตัวและกระปรี้กระเปร่าไปอีกหลายชั่วโมง อันเป็นผลจากการที่ร่างกายถูกกระตุ้น และการที่ระดับฮอร์โมนหลังการออกกำลังกาย มีการเปลี่ยนแปลง แต่ควรต้องวางแผนออกกำลังกายอย่างถูกต้องและเหมาะสมนิดนึงนะครับ เพราะบางคนออกกำลังกายมากไป หรือพักผ่อนไม่เพียงพอในช่วงเช้า อาจจะส่งผลกลับกันคือทำให้เพลียได้

     ในช่วงเช้ามลพิษในอากาศนั้นยังมีน้อยอยู่ เทียบกับช่วงอื่นๆในระหว่างวัน เมื่อร่างกายออกกำลังกาย ต้องการอากาศอย่างมาก ทั้งในระหว่างการออกกำลังกาย และหลังกายออกกำลังกาย การที่สูบอากาศที่ดีกว่าเข้าไป ย่อมดีกว่าอากาศที่ปะปนมลพิษที่เพิ่มขึ้นแล้วในระหว่างวันหรือช่วงเย็น

ข้อเสีย:

     ระดับอุณหภูมิในร่างกาย จะมีช่วงที่ต่ำที่สุดในช่วง 1-3 ชม. ก่อนที่เราจะตื่น อันมีผลทำให้ในตอนเช้าระดับพลังงานในร่างกายและกระแสเลือดจะมีค่าต่ำ การไหลเวียนของกระแสเลือดก็น้อยกว่าในช่วงอื่นด้วย

   ความเย็นในช่วงเช้า อาจจะมีผลต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อระหว่างออกกำลังกายได้ ในจุดนี้ต้องอบอุ่นร่างกายให้พร้อมก่อน ก่อนที่จะเริ่มออกกำลังกายหนักในเวลาต่อมา แล้วก็ควรจะมีการยืดเส้น ทำการ stretching ก่อนออกกำลังกาย จะช่วยได้มาก

  อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ทางจิตใจเลยทีเดียว สำหรับคนที่ไม่ชอบตื่นเช้า ถ้าหากต้องทรมานมาตื่นเช้า เพื่อออกกำลังกายแล้ว แทนที่จะรู้สึกดี อาจจะยิ่งทำให้แย่ หรือยิ่งเบื่อการออกกำลังกาย

     ระดับอุณหภูมิในร่างกาย และระดับฮอร์โมนในร่างกาย ช่วงบ่ายค่อนเย็น จะมีค่าสูงกว่า ซึ่งจะมีผลต่อการเผาผลาญพลังงาน ด้วยระดับการออกกำลังกายที่เท่ากัน แต่เล่นในช่วงบ่ายหรือเย็น จะเผาผลาญพลังงานได้มากกว่า



เที่ยงและช่วงพัก
ข้อดี:

    ระดับอุณหภูมิของร่างกาย และระดับฮอร์โมน สูงกว่าในช่วงเช้า และการออกกำลังกายช่วงนี้จะช่วยในการควบคุมความรู้สึกต้องการอาหารในมื้อเที่ยงได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความต้องการ ในการกินอาหารจุบจิบช่วงพักได้ (อาจจะใช้ไม่ได้สำหรับทุกคน)

    เพิ่มระดับการไหลเวียนของกระแสเลือดในร่างกาย ทำให้กระปรี้กระเปร่าในช่วงบ่าย (เช่นกับตอนเช้า เงื่อนไขคือต้องเป็นการออกกำลังกาย ที่ถูกต้องและพอดี ไม่เช่นนั้นอาจจะให้ผลตรงกันข้าม)

    ผ่อนคลายความเครียด จากการทำงาน การเรียน หรือการทำงานบ้าน
ข้อเสีย:

    ด้วยเวลาที่จำกัดในช่วงเที่ยง ก็จะไม่สามารถออกกำลังกายได้เต็มที่นัก ภาระ กิจและความรับผิดชอบ หน้าที่อื่นๆ ในการทำงาน อาจจะทำให้สมาธิไม่อยู่กับการออกกำลังกายได้เต็มที่ จนอาจจะถึงกระทั่ง บางทีต้องยกเลิกคิวออกกำลังกาย ที่ตั้งใจไว้ เพราะติดงานเข้ามาแทรก

    มีผลวิจัยค้นพบว่าในช่วงเที่ยงนั้น ระบบหายใจจะทำงานได้ไม่ดีเท่าช่วงอื่น สำหรับการออกกำลังกายด้วยการเดินนั้นอาจจะไม่รู้สึกแตกต่างอะไร แต่สำหรับการออกกำลังกายหนักๆ หรือผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ จะมีผลต่างกันราวๆ 15-20%

บ่าย

ข้อดี:

    มีผลการวิจัย ทดสอบออกมาว่า ช่วงเวลาบ่าย (สามโมงถึงทุ่ม) เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด สำหรับการออกกำลังกาย ทั้งแบบเพิ่มความอดทน (endurance) และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ) 
คนส่วนใหญ่จะมีอุณหภูมิในร่างกาย และระดับฮอร์โมนสูงสุดที่เวลาประมาณ หกโมงเย็น การออกกำลังกายในช่วง 3 ชม. ก่อนหรือหน้าช่วงนั้น เป็นช่วงที่ดีที่สุด นอกจากนี้ผลการวิจัยยังระบุว่าระบบการหายใจจะทำงานได้ดีที่สุดในช่วง สี่ถึงห้าโมงเย็น

    กล้ามเนื้อในช่วงนี้ของวัน จะอบอุ่นและยืดหยุ่น พร้อมกับการออกกำลังกายได้มากที่สุด

    จะมีส่วนช่วยในการควบคุมความรู้สึกอยากอาหารในมื้อเย็นได้ดีขึ้น

    ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย คลายเครียดจากการทำงาน การเรียน หรือการทำงานบ้าน

ข้อเสีย:

   บ่อยครั้งที่เรื่องหน้าที่การงานมักจะเข้ามาแทรก ทำให้หาเวลาในช่วงเย็นสำหรับออกกำลังกายได้ยาก และบ่อยครั้งที่แม้คุณจะตั้งใจไว้แล้วว่าในช่วงเย็นจะไปออกกำลังกาย แต่มีงานด่วน หรือมีนัดสำคัญ หรือเพื่อนๆ มาชวนไปสังสรรค์ในช่วงค่ำ จนทำให้ต้องไม่มีเวลาออกกำลังกายไปในที่สุด


ช่วงเย็นถึงค่ำ
ข้อดี:

   คนส่วนใหญ่จะมีอุณหภูมิในร่างกาย และระดับฮอร์โมนสูงสุดที่เวลาประมาณ หกโมงเย็น การออกกำลังกายในช่วง 3 ชม. ก่อนหรือหน้าช่วงนั้น เป็นช่วงที่ดีที่สุด กล้ามเนื้อจะอบอุ่นและยืดหยุ่น พร้อมกับการออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังมี
ส่วนช่วยในการควบคุมความรู้สึก อยากอาหารในมื้อเย็นได้ดีขึ้น

      ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย คลายเครียด จากการทำงาน การเรียน หรือการทำงานบ้าน
ข้อเสีย:

    ปัญหาแรกคือจะคล้ายกับช่วงบ่าย คือเรื่องเวลาอาจจะถูกรบกวน โดยงานที่ต้องทำยันเย็นยันมืด หรือนัดพิเศษที่คุณเลี่ยงมันไม่ได้ นั่นอาจจะทำให้เวลาที่สุดแสนจะน่าออกกำลังกาย สำหรับคุณต้องมลายหายไป

   ควรต้องพักประมาณหนึ่งถึงสามชั่วโมง หลังจากการออกกำลังกาย ก่อนที่จะเข้านอน เพราะหากออกกำลังกายแล้วจะนอนทันที ร่างกายอาจจะยังรู้สึกตื่นตัว และส่งผลให้นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่สนิท ซึ่งก็จะมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมน เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของร่างกาย นอกจากนี้หากเป็นการออกกำลังกายประเภทนอกสถานที่ จะทำได้ลำบาก ... เพราะมันมืดแล้วนั่นเอง

    อ่านมาจนถึงตรงนี้หลายๆคนคงมีคำถามว่าแล้วช่วงไหนดีที่สุด คนที่ตอบคำถามเหล่านี้ได้คือตัวของคุณเองครับ เพราะไม่ว่าจะออกกำลังกายช่วงไหน ก็ได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายทั้งนั้น ช่วงที่เหมาะสมกับคุณที่สุดก็คือช่วงเวลาที่คุณสามารถหาเวลาไปออกกำลังกายได้โดยไม่มีคนรบกวนนั่นเอง และสิ่งที่อยากแนะนำอีกนิดนึงคือไม่ควรออกกำลังกายหลังสี่ทุ่มจนถึงตีห้าครับ เพราะช่วงนั้นร่างกายของเราต้องการพักผ่อนและ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วงนี้จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายแล้วไปพักผ่อนจะดีกว่าครับ (ยกเว้นว่าคุณต้องออกกำลังกายบนเตียงต่อก็อีกเรื่องนึงนะฮ๊าบบบบ)

  ก่อนจบบทความนี้ผมแนะนำว่า ถ้าออกกำลังกายช่วงค่ำให้วางแผนให้จบการออกกำลังกาย + รับประทานอาหาร ก่อนนอนสามชั่วโมงนะครับ เพราะถ้าเราทานก่อนนอนแทนที่ร่างกายเราจะได้พักผ่อน กลับต้องมาย่อยและดูดซึมสารอาหารแทนทำให้เราพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ แถมอ้วนด้วยนะฮ๊าบบบบบ
วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

15เทคนิค พิชิตความอ้วน


     หลายๆท่านคงมองหาวิธีลดความอ้วนกันอยู่ จริงๆแล้วเรื่องลดความอ้วนนี่ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเราควบคุมความอยากของตัวเองได้ (นี่แหละยากที่สุด) ดังนั้นจะว่าไปแล้วการลดความอ้วนก็คือการฝึกวินัย และแข่งความอดทนกับตัวเองนั่นเอง จริงๆแล้วผู้เขียนก็เคยบวมฉุเหมือนกัน แต่ก็อาศัยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจนควบคุมน้ำหนักได้ หลายๆคนคงอยากถามว่า แล้วคนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายล่ะจะลดน้ำหนักได้อย่างไร โดยไม่พึ่งยาลดความอ้วน คำตอบก็อยู่ที่การเลือกกิน และควบคุมนิสัยการทานของเราครับ เสียเวลาบ่นมานานแล้วเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

 15เทคนิค พิชิตความอ้วน

1. รับประทานผัก ผลไม้มากๆ
อย่าละเลยการรับประทานผัก ผลไม้ เด็ดขาด! เพราะ ผัก ผลไม้ มีทั้งเส้นใยและสารอาหารต่างๆ ที่ดีกับคุณสาวๆ แถมทานมากเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนด้วย ยกเว้นผลไม้เขตร้อนบางชนิด พูดง่ายๆผลไม้เมืองไทยเรานี่แหละฮ๊าบบบบบ ผลไม้ที่ควรเลี่ยงถ้าเราลดน้ำหนักอยู่หนีไม่พ้นทุเรียน เงาะ ลำไย มะม่วงสุก ขนุน กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า 

2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอดๆ และติดมัน
อาหารทอดๆ มาพร้อมกับน้ำมันที่จะมาทำให้คุณอวบอั๋นขึ้นอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับอาหารเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น กุนเชียง หมูสามชั้นทอดกรอบ หนังไก่ กากหมู ถ้าไม่อยากอ้วน อดใจไว้นะฮ๊าบบบบบบ

3. ทานดาร์กช็อกโกแลต
ใช่ฮับคุณอ่านไม่ผิดแน่นอน ผมกำลังแนะนำให้คุณทานช็อกโกแลต แต่ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทั่วๆไปนะครับ ต้องเป็นดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นถึงจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์และเป็นประโยชน์กับร่างกายของคุณสาวๆ ถามว่าจะหาซื้อได้ที่ไหน ตามซูเปอร์มาร์เกตก็มีขายฮับ ที่เขียนว่า Coco 99% อะไรแบบนั้น ช็อกโกแลตพวกนี้ยังไม่ได้ผสมน้ำตาลกับนมนะครับดังนั้นรสชาติจึงเป็นช็อกโกแลตแท้ๆ (ขมโคตรๆ) วิธีทานคือทานทีละนิดอมให้ละลายครับ ที่ผมบอกว่าขมคือถ้าคุณโยนเข้าปากแล้วเคี้ยวกร้วมๆ เหมือนกิน M&M ละก็ได้มีคายทิ้งแน่ครับ แต่ถ้าอมไว้ทีละนิดจะได้ความหอมของช็อกโกแลต กับความขมนิดๆที่ลงตัวฮ๊าบบบบบ 

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
แทบจะทุกบทความ ที่แนะนำให้คุณดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จึงช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินให้คุณด้วย ซ้ำยังช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้นด้วย หากคุณดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนทานอาหารทุกครั้ง แต่อย่าชะแว้บ! ไปมอง "น้ำอัดลม" หรือ "น้ำผลไม้" เชียว ยกเว้น "น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง" ที่เราแนะนำให้คุณดื่มได้ การดื่มน้ำยังช่วยทำให้ผิวพรรณดูสวยด้วยดังนั้นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดของมนุษย์เราก็คือน้ำเปล่าสะอาดๆนี่แหละ

และจำไว้ให้ดีการดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ทันทีหลังจากที่คุณเพิ่งตื่นนอนจะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบาทำงานได้อย่างคล่องตัว 

5. ทานอาหารเช้า
อาหารเช้าคืออาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้าหากคุณๆพลาดอาหารเช้าในช่วงเวลา 6.00-10.00 น. ไปล่ะก็ คุณอาจจะรู้สึกหิวในมื้อต่อๆ ไปมากขึ้น ทีนี้ล่ะคุณอาจจะเผลอตัวเผลอใจสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ยั้งแล้วจะลดน้ำหนักได้อย่างไรล่ะฮ๊าบบบบบ

6. กินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
การไดเอทไม่ได้สำคัญที่ว่าคุณทานอะไรเข้าไป แต่สำคัญที่ว่าทำไมคุณถึงทานเข้าไปต่างหาก ฉะนั้นแล้วหากใครชอบกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์เพียงเพื่ออยากทานสิ่งนั้นจงเปลี่ยนพฤติกรรมด่วนค่ะ ทานให้แต่พออิ่มจะดีกว่า และควรทานเมื่อเวลาที่หิวจริงๆ

7. ออกกำลังกายสำคัญสุดๆ
การออกกำลังกายช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาวได้ แถมยังจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงานได้คราวละมากด้วย หากคุณไม่มีเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอลองหาเวลาเดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน (จะเป็นเดินชอปปิ้งหลังเลิกงานก็ได้ แต่ถ้าหนักไปทางชอปปิ้งคุณจะได้ไดเอทกระเป๋าสตางค์ของคุณแทน) นอกจากคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ดีแล้วยังจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอีกด้วยล่ะ

8. หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท
การมีเพื่อนร่วมทำอะไรด้วยกันจะช่วยให้เรามีกำลังใจและไม่เบื่อหน่ายต่อสิ่งที่ทำอยู้ ดังนั้นชวนเพื่อนที่บวมฉุของคุณมาออกกำลังกายกันเถอะ!

9. อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น
หากไม่อยากอ้วนกำจัดของกินในตู้เย็นโดยด่วน คุณจะได้ไม่เผลอหยิบติดมือมาทานได้ง่ายเกินไปนั่นเอง แต่ถ้าอยากจะมีอาหารติดในตู้เย็นแนะนำว่า ผักผลไม้และบรรดาอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหลายจะดีกว่า

10. อย่ากินไป ดูทีวีไป
การทานไปดูทีวีไปเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างแรงถ้าคุณกำลังลดความอ้วนอยู่ เพราะว่าระหว่างที่คุณทานอยู่คุณจะไม่รู้เลยว่าทานไปเท่าไหร่แล้ว

11. จำไว้อย่าอด
การไดเอทไม่ใช่การอดอาหาร เพราะยิ่งคุณอดอาหารเท่าไหร่จะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แถมยังทำให้คุณหิวมากขึ้นมากขึ้นจนทำให้คุณสามารถทานได้มากกว่าปกติในมื้อต่อไป ดังนั้นควรทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสมจะเป็นการดีที่สุด

12. อย่าทานอะไรหลังมื้อเย็นอีก
ไม่ดีแน่หากคุณทานขนมหรืออาหารอะไรหลังจากคุณทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีคือควรจะให้ร่างกายได้พักผ่อนจากการย่อยอาหารแล้วไปเริ่มทำงานใหม่ในมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า

13. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หากคุณพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพออาจจะมีผลกระทบต่อฮอร์โมนเลปตินซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร ดังนั้น อาจทำให้คุณยับยั้งชั่งใจในการรับประทานไม่อยู่และอ้วนขึ้นได้ นอกจากนี้หากคุณนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็สามารถช่วยให้ร่างกายกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้เช่นกัน

14. ทานหลายๆ มื้อเล็กๆ ในหนึ่งวัน
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การทานอาหาร 4-5 มื้อเล็กๆ ในแต่ละวัน จะช่วยควบคุมระบบการเผาผลาญและความอยากอาหารได้ดีกว่าการทานอาหารมื้อปกติ 3 มื้อ แต่ไม่ใช่ว่าทานของหวานหลายๆมื้อนะครับ ระหว่างมื้ออาหารคุณอาจทานสแน็กหรือผลไม้เพื่อให้คุณอิ่ม และไม่หิวมากจนกระทั่งถึงมื้อต่อไป ทีนี้ในมื้อต่อไปคุณก็จะทานอาหารได้น้อยลงแล้ว

15. จดบันทึกประจำวันให้เป็นนิสัย
แต่ละวันคุณกินอะไรไปบ้างลองจดบันทึกไว้ทุกๆ สัปดาห์ดูสิ เพราะมันจะช่วยให้คุณยับยั้งชั่งใจและควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้ดีเลยทีเดียว


ลดน้ำหนักง่ายๆด้วยโยเกิร์ต

การทานโยเกิร์ตเป็นประจำ นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยลดน้ำหนักได้ เป็นของว่างเวลาหิว หรืออยากกินขนม แต่ว่าการทานโยเกิร์ตเพื่อลดน้ำหนักควรจะเป็นโยเกิร์ตที่เป็นรสธรรมชาติ ไม่มีน้ำตาล หรือแต่งรส เช่น รสสตรอเบอร์รี่ ธัญพืช หรืออื่นๆ เพราะมีการเติมน้ำตาลลงไปมาก ถ้าอยากลดน้ำหนักและได้รสชาติไปในตัว ควรเติมผลไม้สดลงไปเองจะดีกว่า 
  
ข้อดีของโยเกิร์ต


1. โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะ น้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรด แลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม เคซีน ซี่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและโปรตีนเคซีน

2. โยเกิร์ต เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วย ยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ กรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกายเช่น เชื้อซัลโมเนลา (Salmonella typhidie) อี โคไล ( E. Coli) โคลินแบคทีเรีย( Corynebacteria diphtheriae) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราควรจะรับประทานโยเกิร์ตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัย อยู่ภายในลำไส้

3. โยเกิร์ต เป็นแหล่งวิตามิน บี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน บีและวิตามิน เค ในลำไส้

4. โยเกิร์ต ช่วยรักษาโรค ท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะ จากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้รับประทานโยเกิร์ต

5. โยเกิร์ต ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น

6. โยเกิร์ต เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตจะมีโปรตีนมากกว่าในนม 20% และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใด้ด

7. โยเกิร์ต ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

8. โยเกิร์ต ช่วยป้องกันมะเร็ง แลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง สามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารในเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้

การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยาก หากมีการวางแผนการทานอาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้สมดุลกัน การลดน้ำหนักด้วยโยเกิร์ตทานเป็นของว่าง แทนของว่างอื่นๆที่ทานประจำไม่ใช่ทานเป็นอาหารหลักนะครับ

***ข้อควรระวัง: การลดน้ำหนักด้วยโยเกิร์ต อย่าทานโยเกิร์ตอย่างเดียว เพราะ จะไม่ได้สารอาหารที่จำเป็นอื่นๆอย่างครบถ้วน ทำให้กลับมาอ้วนอีกง่ายหรืออ่อนเพลีย ควรกินเป็นมื้อว่างเท่านั้น

วิธีลดความอ้วนด้วยการทานกล้วย


 วิธีลดความอ้วนด้วยการทานกล้วย   

เรื่องน้ำหนักตัวเพิ่มเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ไม่พึงปรารถนา เพราะนอกจากจะทำให้เสียบุคลิกภาพแล้วยังก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ ตามมา การลดน้ำหนัก ด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย  การทานอาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนัก หรือแม้แต่การรับประทานยา เป็นวิธีที่นิยมนำมาใช้  แต่นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีวิธีง่ายอีกหลายวิธี วันนี้มีเคล็ดลับการลดน้ำหนักด้วยการทานกล้วยมาฝากกัน


วิธีลดความอ้วนด้วยการทานกล้วย  เป็นวิธีที่แตกต่างจากวิธีอื่นๆ เพราะเป็นการลดแบบไม่ต้องอด ไม่ต้องทน ไม่เปลืองเวลา และไม่สิ้นเปลืองเงิน เชื่อว่าสาวๆทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้  ซึ่งมี 8 ขั้นตอนดังนี้

1. ทานกล้วยเป็นอาหารมือเช้า วิธีทานคือเคี้ยวให้ละเอียดๆ

2.  ดื่มน้ำเปล่า หลังทานกล้วย อาจดื่มน้ำอื่นๆ เช่นน้ำผลไม้ก็ได้ แต่การดื่มน้ำเปล่าไม่ต้องใช้เวลาในการย่อยสามารถดูดซึมได้เลย  หลังทานกล้วยหากหิวจนคิดว่าทนไม่ไหว ให้เว้นระยะ 15-30 นาทีแล้วค่อยทานข้าว  หลังจากนั้นให้จิบน้ำบ่อยๆ ทั้งวัน

3.  มื้อเที่ยงทานอะไรก็ได้ตามใจชอบ 

4.  ทานขนมตอนบ่าย 3 โมง หากหิวก็ให้อดทนไว้ ทานได้ครั้งเดียวช่วงบ่าย 3 โมง เท่านั้น

5. มื้อเย็น ควรทานตอน 6 โมงเย็น เร็วกว่านั้นได้ แต่ไม่ควรเกิน 2 ทุ่ม

6.  ออกกำลังกายแต่พอดีไม่ต้องหักโหม

7.  จดบันทึกว่าทานอะไรไปบ้าง ถ่ายอุจาระกี่ครั้ง/วัน เพื่อให้ทราบว่าเรากำจัดของเสียออกไปหรือไม่

8.  ห้ามนอนหลังเที่ยงคืน ควรนอนก่อนเที่ยงคืน หากเกิดอาการหิวในเวลาตั้งแต่ 2 ทุ่มถึงก่อนนอนให้ทานผลไม้

     การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่ต้องควบคุมการรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย ทานน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอ (บางคนอาจสงสัยว่าอดนอนเกี่ยวอะไรกับความอ้วน) เนื่องจากเมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายจะดูดซับสารอาหารได้ไม่เต็มที่ เราจึงต้องกินอาหารมากกว่าปรกตินั่นเอง

ลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน ลด 5 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์


สำหรับผู้ที่มองหาสูตรลดความอ้วนแบบเร่งด่วน ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเห็นผลใน 1 สัปดาห์ ลองเอาสูตรนี้ไปใช้กันดูนะ โดยสูตรนี้ได้รับความนิยมในหมู่บรรดานางเอกช่อง 3 อีกด้วย สาวๆ ที่อยากหุ่นดีไม่ควรพลาด

เบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา ออกตัวว่าเป็นนางเอกช่างกิน แต่ที่ไม่อ้วนก็เพราะมีสูตรเด็ดไว้ค่อยควบคุมน้ำหนัก “เบนซ์ไม่ได้เน้นบำรุงผิวมาก เพราะใส่ใจเรื่องกินมากกว่า เบนซ์กับพี่ชายชอบหาเมนูสุขภาพที่ต้องมีผักและผลไม้มาลองทำกัน บางครั้งจะออกไปกินอาหารนอกบ้านกับพี่มิกซ์-บรมวุฒิ เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพและอร่อย บางช่วงกินเพลินจนน้ำหนักเพิ่ม ก็ต้องนำสูตรลดความอ้วนมาใช้ สูตรนี้ทำแล้วเห็นผลดี ลดอ้วนได้โดยไม่ต้องอดอาหาร เบนซ์แนะนำเพื่อนๆ ดาราช่อง 3 หลายคนให้ลองทำ ล่าสุด นานา ไรบีนา กินสูตรนี้ก่อนที่จะถ่ายแบบชุดว่ายน้ำค่ะ” นี่คือคำบอกเล่าของดาราสาวเบนซ์-พรชิตา ณ สงขลา ในนิตยสาร Health & Cuisine

สูตรลดอ้วนแบบเบนซ์...เบนซ์...
สูตรนี้ใช้บ่อยเวลาที่ต้องการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน ทำอาทิตย์เดียวสามารถลดได้ถึง 5 กิโลกรัม หากทำซ้ำ 2 รอบจะลดได้ถึง 7 กิโลกรัม ควรกินน้ำอย่างน้อย 2 แก้วก่อนกินอาหารทุกมื้อ และทำติดต่อกันไม่เกิน 2 อาทิตย์

วันที่ 1
เช้า โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
เที่ยง ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น สลัดผักน้ำใส

วันที่ 2
เช้า น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
เที่ยง ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย

วันที่ 3
เช้า โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
เที่ยง เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม
เย็น สับปะรด 1 ชิ้น

วันที่ 4
เช้า น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
เที่ยง ส้มตำ-ไก่ย่าง
เย็น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย

วันที่ 5
เช้า น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
เที่ยง สลัดผักน้ำใส + ไก่ย่าง
เย็น สลัดผักน้ำใส

วันที่ 6
เช้า น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
เที่ยง ปลานึ่งหรือปลาย่าง (ไม่จำกัด)
เย็น นมสดรสจืด 1 แก้ว

วันที่ 7
เช้า ข้าว 1 ทัพพี + ไข่ต้ม 1 ฟอง
เที่ยง เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม
เย็น สับปะรด 1 ชิ้น

นิตยสาร Health & Cuisine 
ปีที่ : 9 ฉบับที่ : 102 เดือน : กรกฎาคม 2552

ข้อแนะนำ!!

     วิธีลดน้ำหนักวิธีนี้เป็นการลดน้ำหนักแบบระยะสั้นและชั่วคราว ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากเลิกโปรแกรมนี้ไป น้ำหนักคุณก็จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งแน่นอน ดังนั้นวิธีแก้ไขก็แบบที่กล่าวไปแล้ว คือ หลังจากที่ลดน้ำหนักแบบนี้แล้วควรควบคุมการกินอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้รูปร่างดีอย่างแน่นอน

     ดังนั้นเราก็ควรรักษาพฤติกรรมการกินอาหารที่ดีไว้ กล่าวคือ ในแต่ละวันหรือแต่ละมื้อให้หันมาทานผักทานปลาแทนเนื้อสัตว์ หรืออย่างน้อยทานเนื้อสัตว์แค่พอสมควรก็พอ ลดการกินอาหารไขมันสูง ของมัน ของทอด ของหวาน น้ำตาล เกลือ งดการทานผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น ละมุด ทุเรียน เงาะ ลำไย ขนุน เป็นต้น ดื่มน้ำมากๆ แต่ไม่ดื่มน้ำอัดลม ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ควรหมั่นออกกำลังกาย เล่นกีฬาหรือเคลื่อนไหวร่ายกาย เช่น ทำงานบ้าน เต้นรำ เดินช้อบปิ้ง เป็นต้น สุดท้ายพักผ่อนให้เพียงพอ